ตะลุยฮ่องกง ไม่ง้อทัวร์แบบฉลุย นั่งกระเช้านองปิง ไหว้พระใหญ่ทินถ่าน


ถ้าหากไม่ได้นั่งกระเช้าไฟฟ้าชมทัศนียภาพของเกาะลันตา และไม่ได้สักการะหลวงพ่อทินถ่าน ก็เหมือนกับว่า ยังมาไม่ถึงฮ่องกง!!!

วันนี้เหมือนวันก่อนๆ เช่นเคย ที่พวกเราใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน เดินทางมาที่สถานี Tung Chung เมื่อลงจากสถานีรถไฟฟ้าก็เดินไปซื้อตั๋วรถกระเช้าไฟฟ้า โดยเดินตามป้าย Ngong Ping360ไป ยังสถานีขายตั๋วกระเช้าฯ และ รถบัส

มาถึงสถานีรถกระเช้านองปิง ก็แอบงง เพราะว่า พนักงานเขาให้เดินไปต่อแถวอยู่ด้านล่างสถานี ซึ่งกว่าจะเข้าใจด้วยประสบการณ์ในภายหลังว่า ถ้าหากจะขึ้นรถบัสไปไหว้หลวงพ่อทินถ่าน ก็เข้าแถวชิดขวา แต่ถ้าต้องการขึ้นกระเช้าก็เข้าแถวชิดซ้าย ซึ่งแถวจะยาวมาก

จนได้เวลาเดินขึ้นไปบนสถานี ทีแรกนึกว่าจะได้ซื้อตั๋วและนั่งกระเช้าไปเลย แต่ที่ไหนได้ ต้องขึ้นไปต่อแถวข้างบน ซึ่งเขาจะใช้สายพานกั้นแถวทบไปทบมา กะด้วยสายตาก็คิดว่าต้องใช้เวลารอไม่ต่ำกว่ำชั่วโมง เพราะว่าคนเยอะจริงๆ (วันนี้ยิ่งเป็นวันอาทิตย์ซะด้วยสิ)

โชคดีที่แอบเหลือบเห็นพนักงานของนองปิงท่านหนึ่งพยายามจะแนะนำแพคเกจให้นักท่องเที่ยว เราจึงเรียกมาถาม ปรากฎว่าเป็นแพคเกจนั่งรถกระเช้าแบบกระจกใส (Crystal Cabin) กับชม Walking Buddha และ Monkey’s Tale ซึ่งเราไม่รู้ว่าการแสดงทั้งสองคืออะไร แต่ว่า ราคาทั้งแพคเกจคนละ $HK272 หรือ 1,125 บาท

อ้าว นี่มันถูกกว่าเราเข้าแถวซื้อนี่นา!?!?! เลยตัดสินใจซื้อกับน้องเขา แล้วเขาพาเดินออกจากสายพานไปซื้อตั๋วเลยค่ะ เรียกว่า ประหยัดทั้งเวลา และราคาค่าขึ้นกระเช้า ซึ่งจริงๆ น้องเขาน่าจะไปยืนขายตั้งแต่ข้างล่างนะ!!!

ราคาตั๋ว ณ วันที่เราใช้บริการ ที่เค้าเตอร์ขายตั๋ว กระเช้ากระจกไปกลับ ก็ $278 แล้วค่ะ!!! หรืออาจจะซื้อตั๋วผ่านเว็บไซต์ ก็ได้ค่ะ http://www.np360.com.hk

ซื้อตั๋วแล้ว ก็รอคิวขึ้นกระเช้าอีกนิดหน่อยค่ะ ดูท่าทางคนส่วนใหญ่นิยมขึ้นกระเช้าแบบธรรมดา อาจจะเพราะด้วยราคาที่ถูกกว่า หรือว่าบางท่านอาจจะกลัวความสูงไม่อยากมองผ่านกระจกเห็นพื้นดิน หรือพื้นน้ำข้างล่าง ดังนั้นแถวรอขึ้นกระเช้าแบบแก้วจะมีคนน้อยกว่าเยอะค่ะ

ตรงช่วงต่อแถวรอคิวขึ้นกระเช้าฯ สามารถเข้าห้องน้ำ(สะอาด)ได้…


ถึงคิวพวกเราขึ้นรถกระเช้าไฟฟ้าแล้ว!!! กระเช้ารถไฟฟ้าแต่ละโบกี้จะจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว คือ 10 คนต่อหนึ่งกระเช้า นับรวมเด็กทารก และเด็กๆ ด้วย
พอได้นั่งในกระเช้าฯปั๊บ มีน้องๆ เจ้าหน้าที่ของนองปิงมาถ่ายรูป เดาได้ทันที ว่าเดี๋ยวเขาต้องขายรูปภาพทีหลังแน่ๆ

อยากเย็นแสนเข็ญกว่าได้นั่งกระเช้าฯ แต่พอกระเช้าฯ ออกตัวพวกเราก็ลืมความยากลำบากดังกล่าวไปเลย เพราะว่า ทัศนียภาพรอบๆเกาะลันเตานั้นสวยงามมากจริงๆค่ะ

จริงๆ แล้ว กระเช้ากระจกแก้วที่พวกเรานั่ง จะดีกว่ากระเช้าแบบธรรมดาก็ตรงแค่พื้นกระเช้าเป็นแก้วใส มองผ่านได้ แต่ไม่ได้เป็นแก้วทั้งกระเช้าอย่างที่เราคิด มีเด็กน้อยที่นั่งมากระเช้าฯเดียวกับเรา หัวเราะ ร่าเริงตลอดทาง กลายเป็นขวัญใจของผู้โดยสารทุกท่านบนกระเช้าฯนี้ไปเลยค่ะ

เวลาในเดินทางบนกระเช้าประมาณ 25 นาที (เท่าๆ กับขึ้นแท็กซี่จากสนามบินไปโรงแรมพวกเราเลยค่ะ) โดยระยะทางกลางเวหาทั้งหมดประมาณ 5.7 กิโลเมตร เรียกว่า เที่ยวละ 500 กว่าบาทนี่ก็พอรับได้นะคะ

เมื่อมาถึงสถานีปลายทาง พอเดินออกจากกระเช้าปุ๊บ น้องๆ เขาจะมายืนดักรอ ขายรูปที่เราถูกถ่ายเมื่อสถานีต้นทางค่ะ คิดไว้แล้วเชียว แต่ว่าอย่าเพิ่งตัดสินใจซื้อ เพราะน้องๆ เขาจะหอบมาขายแบบแพคเกจ (มีรูปขนาด 6×8, รูปในกรอบแก้ว และรูปอัดใส่เป็นพวงกุญแจ 2 อัน) ตอนแรกเราไม่รู้ เลยเผลอซื้อ (เห็นรูปสวยดี) แพคเกจนี้เสียไป $HK400 หรือ 1,650 บาท!!! แต่ตอนเดินมาจ่ายเงิน เขามีแยกขายเป็นรายการๆ ค่ะ

ยังไม่ได้ทำอะไรเสียเงินไปพันกว่าบาทแล้วค่ะ จากตรงนี้ (ทางเดินทางเดียว) ก็เดินตรงเข้าหมู่บ้านนองปิง ซึ่งก็เป็นทางไปวัดโป่วหลิน (Po Lin Monastery) ที่ซึ่งประดิษฐานพระใหญ่ทินถ่าน ไม่ไกลค่ะ แถมตลอดทางก็มีร้านค้า ร้านอาหารตลอดทาง (มีSubway sandwich ที่พวกเราชอบด้วย)


บางร้านก็แอบปลื้มเมื่อพบเห็น เพราะว่ามีป้าย สวัสดี และเชื้อเชิญเป็นภาษาไทย ซึ่งก็ไม่แปลกใจเลย เพราะว่าที่ใดมีศรัทธา ที่นั่นก็ย่อมจะเนืองแน่นไปด้วยคนไทยค่ะ…

ตลอดทางเดินในวัดโป่วหลิน จะมีรูปปั้นของ 12 ขุนพลซึ่งเป็นตัวแทนของ 12 ราศี ตามความเชื่อของชาวจีน สามารถสังเกตได้ว่าเป็นราศีใดจากมงกุฎที่แต่ละขุนพลสวมอยู่ค่ะ…แต่เราหาราศีเกิดของเราไม่เจอ???

พระใหญ่ทินถ่านใช้เวลาสร้างถึง 12 ปีกว่างานจะเสร็จสมบูรณ์ มีน้ำหนักถึง 202 ตัน สูงประมาณ 26 เมตรจากฐานดอกบัว รอบข้างองค์พระฯมีเทวดา 6 องค์กำลังถวายสิ่งของ 6อย่างที่มีความหมายแทน ความดี ความเมตตา ความอดทน ความสงบ ความมีสมาธิ และความมีปัญญา

ทางขึ้นไปสักการะพระใหญ่ทินถ่าน เจ้าหน้าที่นองปิงบอกเราไว้ว่า ฟรี แต่ก่อนเดินขึ้นบันไดเห็นเขาขาย Snack Ticket แต่คิดว่า เราไม่ต้องการซื้อขนม ก็เลยไม่ได้ซื้อตั๋วนี้ ไปถึงบางอ้อ ก็ตอนขึ้นไปถึงข้างบน เพราะว่าอยากขึ้นไปชมจุดสูงสุดของพระใหญ่ (ถ้าเป็นแค่รอบองค์พระ จะขึ้นบันไดได้อีกหนึ่งชั้นฟรี) สรุปเราต้องซื้อ Snack Ticket เพื่อจะได้ขึ้นจากห้องข้างในองค์พระฯ ขึ้นไป ระหว่างทางขึ้น(ภายในองค์พระฯ) เป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งห้ามถ่ายรูป และก็มีศิลปะจีน ฯลฯ สำหรับเราแล้ว ไม่ค่อยน่าสนใจ อาจจะเป็นเพราะเราไม่มีไกด์มาเล่าถึงประวัติความเป็นมาให้ฟัง ก็เลยเดินผ่านๆ ไปทะลุทางออก ซึ่งก็เป็นทางออกจริงๆ เพราะว่า ออกมาแล้วก็ต้องเดินลงบันไดเลย ไม่สามารถเดินชมวิว ได้แต่มองลงไปด้านล่างเท่านั้น…

ตอนลงมา คนขายตั๋วเขาบอกว่า ให้รับน้ำเปล่าได้คนละขวด และเลือกไอศรีมได้คนละแท่ง อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ว่าทำไมถึงเรียกว่า Snack Ticket แต่จริงๆ น่าจะเรียกว่า ตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์มากกว่านะคะ…

ขากลับยังพอมีเวลา และจากแพคเกจนั่งกระเช้ารถไฟฟ้าของเรา รวมกับการได้ชม Walking Buddha และ Monkey’s tale ฟรี เขาจะมีตารางเวลาโชว์ไว้ด้านหน้า แต่ละรอบการแสดงใช้เวลาประมาณ 15 นาที
พวกเราเลือกที่ชม Walking Buddha หรือการจัดแสดงภาพยนต์ผ่านตัวการ์ตูน ตามรอยเส้นทางสูการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า โดยเราสามารถเลือกภาษาได้ด้วยค่ะ ระหว่างการชมห้ามถ่ายรูป และจะมีเจ้าหน้าที่คอยบอกทางเดินภายใน จริงๆ ก็แค่เดินเปลี่ยนห้อง ถือว่าเป็นการแสดงที่เหมาะกับเด็กๆ และนักท่องเที่ยว ที่ไม่เคยเรียนวิชาพระพุทธศาสนาค่ะ…
ส่วน Monkey’s tale เป็นภาพยนต์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิทานชาดก แต่เราไม่ได้เข้าชมเพราะว่า บ่ายสามโมงกว่าแล้ว และรอบที่เราออกมาจากการชม Walking Buddha ทำให้เราต้องรอชอบในการชม Monkey’s tale อีกประมาณเกือบ 20 นาที
พวกเราจึงเดินมาขึ้นกระเช้ากลับค่ะ ต้องทำเวลาหน่อย เพราะว่า กระเช้ารอบสุดท้ายคือเวลาประมาณ หกโมงครึ่ง เผื่อเวลาต่อแถวขึ้นกระเช้าด้วยนะคะ…

เดินทางกลับที่พักเวลาประมาณพอดีสำหรับออกไปหาอาหารเย็นทานในจิมซาจุ่ยอีกครั้ง วันนี้ ลองร้านอาหารภัตตาคารจีน เมนูวันนี้ สั่งกันง่ายๆ มีแค่ ปลาทอด, ห่านพะโล้ และเจ้าปูนึ่งเย็นแสนแพงตัวนี้ค่ะ!!!

มื้อนี้แอบหมดตัว เพราะว่าเขิลสั่งไม่เป็น เขาแนะนำอะไรก็พยักหน้ารับ แต่ก็อิ่มอร่อยสไตล์อาหารจีน คือ ค่อนข้างจืด และมันๆ สำหรับเรา ก่อนจะเดินลัดเลาะตลาดนาธาน อีกครั้งเพื่อเป็นการช้อปปิดท้ายก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯในวันรุ่งขึ้น

วันกลับ กะว่าจะทดลองนั่งรถไฟฟ้าสาย Airport Express แต่กระเป๋าที่หนักเดินทางไม่สะดวก เราเลยใช้บริการรถแท็กซี่อีกแล้วค่ะ แต่จากโรงแรมฯ ไปสนามบินฯ คราวนี้แค่ $HK180 หรือ ประมาณ 745 บาท (ถูกกว่าตอนขามาเกือบครึ่ง)

แต่แท็กซี่เขาจะถามว่า ลงตึกไหน ซึ่งตอนแรกเราก็งงๆ เพราะไม่รู้ เลยบอกไปแค่ว่า ตึกสำหรับสายการบินระหว่างประเทศ (International Flight) เขาก็ส่งเราลงตึก 1 โชคดีที่สายการบินไทย อยู่ในตึก2 ที่อยู่ข้างล่างของตึก1 อีกที

แต่ทุกครั้งของการเดินทาง สิ่งที่ดีที่สุดคือเมื่อเดินทางกลับมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิแล้วทางออกของเครื่องบินเชื่อมติดกับทางเข้าตัวอาคารสนามบินฯ โดยไม่ต้องขึ้นรถบัสอีก…

จบทริปการเดินทางที่ฮ่องกงแบบง่ายๆ เรียบๆ แต่ว่า สนุก รับรองว่า จะต้องกลับมาอีกแน่นอน เพราะยังมีอีกหลายที่ที่พวกเราไม่ได้ไปในครั้งนี้…สรุปว่า ฮ่องกง ใครๆ ก็ไปได้จริงๆค่ะ!

อ่าน ทริปฮ่องกงนี้ ฉบับรวดรัด 4วัน3คืน หรือ ตะลุยฮ่องกง ไม่ง้อทัวร์ วันแรก เบาๆ ในจิมซาจุ่ย หรือ อ่าน วันที่ 2 ตะลุยดีสนีย์ฮ่องกง พร้อมนวด กิน ดื่ม ช้อปที่ตลาดกลางคืนแบบไม่ง้อทัวร์

About Jam

I'm Jam, the blogger, and illustrator of this website. I live in Bangkok, Thailand and Louisiana, USA when I'm not travelling.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *