เป๊ะเว่อร์ ที่ หลีเป๊ะ จ.สตูล

(English) มีเสียงลือเสียงเล่าอ้าง ว่ามีเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูลที่น้ำทะเลใส ทรายขาวและสวยจนได้สมญาว่า “มัลดีฟท์ประเทศไทย” เราไม่รอช้า หาข้อมูลเกาะหลีเป๊ะ เพื่อเดินทางไปพิสูจน์กันค่ะ แต่หนทางที่จะไปเกาะหลีเป๊ะนั้นแสนจะลำบาก โดยสำหรับพวกเรา เริ่มจากกรุงเทพฯ บินไปหาดใหญ่ ขึ้นรถอีกชั่วโมงครึ่งไปท่าเรือ จ.สตูล และจากนั้นก็ขึ้น เรือสปีดโบ้ทอีกชั่วโมงครึ่ง ต่อด้วยเรือหางยาว และสุดท้ายมอเตอร์ไซต์รับจ้างบนเกาะไปรีสอร์ท แต่อย่าเพิ่งท้อใจอ่านรายละเอียดทริปกันก่อนค่ะ


เกาะหลีเป๊ะ
เป็นเกาะเล็กๆ ชื่อเกาะเป็นภาษาท้องถิ่นของชนเผ่าดั้งเดิม ที่อพยพและร่องเรือมาจากประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซีย คือ เผ่าอุรักลาโว้ย  โดยคำว่า “หลีเป๊ะ” แปลว่า กระดาน หรือ เรียบ เนื่องจากพื้นที่บนเกาะส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบ โดยมีเนื้อที่ประมาณ 1 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น (ไกด์บอกมา) คนพื้นเมืองที่นี่อาศัยกันอยู่เป็นเวลานาน มีอาชีพหาปลา และจับสัตว์ทะเลขาย ตามประวัติเมื่อปี 2514 สมเด็จย่าฯทรงเสด็จเพื่อปฏิบัติพระกรณียกิจออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. มีราษฎรชาว อุรักลาโว้ย เฝ้ารับเสด็จเป็นจำนวนมาก สมเด็จย่าฯทรงสอบถามชาวเลถึงชื่อและนามสกุลทรงรับทราบว่าชาวอุรักลาโว้ยไม่มีนามสกุล ต่อมาในปี พ.ศ. 2516 สมเด็จย่าทรงเสด็จมาที่เกาะหลีะเป๊ะอีกพร้อมทั้งได้พระราชทานชื่อ สกุลให้แก่ชาวเลบนเกาะหลีเป๊ะทุกคนว่า หาญทะเล


เมื่อกล่าวถึง ความสวยงามของเกาะที่นี่ มีหาดทรายสีขาวละเอียด น้ำทะเลเป็นสีเขียวมรกตตัดกับท้องฟ้าสีคราม ทำให้มีการกล่าวขานกันปากต่อปากสำหรับผู้มาพบเห็น เริ่มทำให้เกาะหลีเป๊ะเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวบริเวณใกล้เคียง โดยเฉพาะชาวมาเลเซีย ต่อมาเกาะหลีเป๊ะยิ่งมาโด่งดังสุดๆเมื่อครั้งที่ สึนามิปี 2547 โดยเกาะหลีเป๊ะเป็นเกาะหนึ่งที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสึนามิเลย และหลังจากเกิดคลื่นสึนามิ พบว่าแหล่งท่องเที่ยวทั้งหมดยังอยู่ในสภาพปกติ โดยเฉพาะเกาะหินงามมีสันทรายขึ้นมา มีปลาสวยงามเข้ามามากและตามชายหาดต่าง ๆ ทรายขาว สะอาดกว่าเดิม ปะการังไม่เสียหาย ทุกอย่างปกติ ทำให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเกาะหลีเป๊ะเพราะเชื่อในความปลอดภัยมากขึ้น


(คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่ และรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ โรงแรม ฯลฯ)
เกาะหลีเป๊ะ แบ่งออกเป็น 3 หาดใหญ่ๆ คือ หาดชาวเล (Sunrise Beach) หาดชาวประมง (Sunset Beach) และ หาดพัทยา (Pattaya ซึ่งจริงๆ เพี้ยนมาจาก บัดตาหยา เพราะเมื่อสะกดเป็นภาษาอังกฤษและชาวต่างชาติมักออกเสียงเพี้ยนเป็น “พัทยา”ตามที่เขารู้จักกันที่ชลบุรี ทำให้หาดนี้ถูกเรียกว่า พัทยา เป็นต้นมา รีสอร์ทที่เราไปพักก็อยู่ที่หาดพัทยา โดยเจ้าของตั้งชื่อรีสอร์ทให้คล้องกับชื่อดั้งเดิมว่า บันดาหยา รีสอร์ท)

จริงๆ เราก็ชอบหาดพัทยาค่ะ เพราะว่ามี Walking Street แถมอยู่ใกล้กับกองทัพเรือ ไกด์บอกว่าหาดนี้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากกว่าหาดอื่นๆ ด้วยค่ะ

ค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาหลีเป๊ะของพวกเราในครั้งนี้ โดยซื้อเพคเกจกับทางบันดาหยารีสอร์ท ซึ่งคำนวณแล้วคุ้มกว่า และง่ายกว่า สรุปค่าใช้จ่ายเบื้องต้น แพคเกจที่พัก อาหาร และ ทัวร์กับบันดาหยา คนละ 13,900บาท (4วัน 3คืน) และ ค่าเครื่องบินไปกลับ กทม.-หาดใหญ่ คนละ 6,630บาท รวมแล้ว ทริปนี้ คนละ 20,530บาท แพง แต่ของเขาดีจริงค่ะ

จาก กรุงเทพฯ ทางรีสอร์ทแนะนำให้บินมาลงหาดใหญ่ จากนั้นขึ้นรถตู้มาท่าเรือปากบาระ จ.สตูล จริงๆ จะมาลงที่สนามบินตรังก็ได้ค่ะ แต่ต้องเช็คว่ามีรถรับจ้างที่นั่นหรือเปล่า? เพราะถึงแม้ระยะทางระหว่างหาดใหญ่-ท่าเรือ จ.สตูล กับ ตรัง-ท่าเรือ จ.สตูล จะเท่ากัน แต่สนามบินตรังมีขนาดเล็กกว่า และมีสายการบินให้บริการน้อยกว่าสนามบินหาดใหญ่ ด้วยเหตุนี้เอง ช่วงที่ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว ต้องเช็คกับทางรีสอร์ทก่อนเดินทางค่ะ ทริปนี้เราเลือกบินมากับสายการบินไทย ทางรีสอร์ทแนะนำให้เราถึงสนามบินก่อน 9โมงเช้า และขากลับต้องเป็นเที่ยวบินหลังบ่าย3โมง

แต่ก่อนเดินทางเพียงสองวัน การบินไทยได้ยกเลิกเที่ยวบินในตอนเช้าที่พวกเราซื้อตั๋วไปแล้ว และเลื่อนเที่ยวบินที่มาถึงหาดใหญ่ในเวลา 11โมงเช้า การเปลี่ยนแปลงโดยไม่โทรแจ้งลูกค้าแต่เพียงส่งอีเมล์มาบอก เหมือนเป็นการสื่อสารทางเดียวของสายการบินไทย ทำให้พวกเราต้องเสียเงินจ้างรถเพิ่มจากแพคเกจอีก 1,800 บาท แต่ทางรีสอร์ทจะจัดหาเรือบริษัทอื่นให้ในตอนบ่าย…(จริงๆ ถ้าเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยวของหลีเป๊ะ (พฤศจิกายน – เมษายน) ทางรีสอร์ทเองจะมีเที่ยวเรือไป-กลับ อย่างน้อยสองรอบค่ะ แต่ช่วงนี้มีเพียงเที่ยวเดียวเท่านั้น) แต่พอถึงเกาะหลีเป๊ะเราเห็นป้าย Air Asia ที่มีทั้งรถตู้ที่ท่าเรือปากบาระ และสามารถเช็คอินได้บนเกาะหลีเป๊ะเลย คราวนี้รู้แล้วค่ะ ว่าถ้าไปเกาะหลีเป๊ะไปกับ Air Asia ชัวร์กว่า การบินไทย!  ระยะเวลาการเดินทางจากสนามบินหาดใหญ่ถึงท่าเรือปากบาระด้วยรถยนต์นั้นใช้เวลาโดยประมาณชั่วโมงกับยี่สิบนาที

และเมื่อมาถึงก็เห็นออฟฟิศของรีสอร์ท (ที่ท่าเรือ) และไกด์ประจำตัว คือ คุณดาเลีย มาแนะนำตัวกับพวกเราและคอยช่วยหิ้วกระเป๋าให้พวกเราด้วยค่ะ ตอนนี้ต้องรออีกเกือบๆ ชั่วโมง รอเรือออกค่ะ คุณดาเลียแนะนำให้พวกเราเปลี่ยนกางเกงขาสั้น เพราะเธอมั่นใจว่าตอนลงเรือต้องเดินลุยน้ำแน่ๆ (ณ เวลาที่รอขึ้นเรือ ขอบอกว่า งงมาก นี่ถ้าไม่มีคุณดาเลียเราคงแย่ค่ะ)

และนี่คือครั้งแรกที่นั่งสปีดโบ้ทที่ไกลและนานที่สุดของเรา คือเกือบ 90นาที นั่งจนเบื่อ จนเมื่อยและจนเมาเรือค่ะ แต่หันไปดูผู้โดยสารด้านหลัง ท่าทางจะชอบการขึ้นเรือสปีดโบ้ทกันค่ะ (ไว้ขากลับเราจะนั่งข้างหลังบ้าง!)

เมื่อเรือจอดและดับเครื่องยนต์เป็นสัญญาณของความสุขเพราะคิดว่าถึงซะที แต่ทว่า วันนี้น้ำน้อย เรือใหญ่ไม่สามารถเทียบจอดชายผั่งได้ จึงต้องจอดตรงโป๊ะค่ะ

ซึ่งเป็นเรื่องปกติของช่วงนี้ ส่วนใหญ่เรือจะจอดเทียบท่าได้ที่หาด sunrise แต่ถ้าช่วงฤดูการท่องเที่ยว(พฤศจิกายน – เมษายน) น้ำจะขึ้นสูง เรือจะไปจอดที่หาด Pattaya ซึ่งเป็นหาดที่ตั้งของรีสอร์ทได้เลย ตรงนี้คุณดาเลียพาขึ้นเรือหางยาวรับจ้าง ค่าโดยสารท่านละ 50บาท แต่ของพวกเรารวมในแพคเกจแล้วค่ะ ตอนนั่งเรือหางยาว นักท่องเที่ยวต่างตื่นเต้นที่เห็นน้ำทะเลใสมากๆ

ลงจากเรือหางยาวรับจ้าง ก็เป็นหาดชาวเล (Sunrise) เจ้าหน้าที่โรงแรมและไกด์ท้องถิ่นมารอรับนั่งท่องเที่ยวที่นี่กัน เราต้องนั่งรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างบนเกาะไปรีสอร์ท ค่าโดยสารปกติท่านละ 50บาท แต่เช่นกันค่ะ ที่พวกเราไม่ต้องจ่าย แถมมีคนช่วยหิ้วกระเป๋าตลอดทาง

เฮ้อมาถึงสักทีค่ะ!!! เหนื่อยมากๆ ออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ 8โมงเช้า มาถึงรีสอร์ท 5โมงเย็น นี่ถ้าขึ้นเครื่องบินอย่างเดียว คงเดินทางได้เกือบครึ่งโลกแล้วค่ะ แต่ในขณะที่กำลังบ่น แล้วเห็นหาดทรายสีขาวตรงหน้าพร้อมทั้งสีน้ำทะเลเป็นสีฟ้าอ่อนตัดกับแสงพระอาทิตย์ในยามเย็นก็ทำให้หยุดบ่นทันทีค่ะ อีกทั้งห้องพักก็หรูหราและสะอาดมาก เราจึงหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง (แต่ก็ยังเมาเรืออยู่ค่ะ)

มื้อค่ำคืนแรก กับคืนที่สอง รวมในแพคเกจค่ะ (คืนที่สามอยู่เพิ่ม ได้แต่อาหารเช้า) ตอนแรกนึกว่าจะเป็นอาหารฟรี จะเป็นอาหารเซ็ตแบบธรรมดา แต่ที่ไหนได้ แค่ค่าอาหารสองมือนี้ก็คุ้มสุดๆแล้วค่ะ ที่แย่หน่อยคือช่วงนี้ ในตู้เย็นในห้องพักรีสอร์ท ไม่มีเครื่องดื่ม (mini bar) ให้ค่ะ แต่ไม่เป็นไร เราเดินออกไปซื้อข้างนอก ถูกกว่าเห็นๆ



เกาะหลีเป๊ะมี Walking street ด้วย

 


Walking Street เป็นทางเดินระยะสั้นๆ น่าจะประมาณ 500 เมตร สองข้างทางเดินเป็นร้านค้า ร้านอาหาร และร้านต่างๆ บางร้านอาหารเปิดให้บริการอาหารเช้า แต่ส่วนใหญ่เปิดประมาณ 6โมงเย็นไปจนถึงเที่ยงคืน มีร้านสะดวกซื้อที่ราคาจะแพงกว่าปกติเท่าตัว เช่น โค้กกระป๋องละ 25 บาทเป็นต้น ร้านยา ก็มีค่ะ เรียกว่าลืมอะไร ก็มาหาซื้อได้ที่นี่

นอกนั้นก็จะเป็นร้านขายของที่ระลึก โปสการ์ด เสื้อยืด และอุปกรณ์ดำน้ำ ที่ขาดไม่ได้เลยคือกระเป๋ากันน้ำที่มีหลายขนาด ราคาเริ่มต้นที่ 300 – 650บาท ถ้าไม่มีกระเป๋ากันน้ำแต่ซื้อทัวร์ดำน้ำ ขอแนะนำให้ซื้อไว้เถอะค่ะ เพราะกันไว้ดีกว่าเปียก…

นอกจากนั้น ร้านอาหาร ผับ บาร์ และอาหารทะเล พวกปิ้งย่างก็เป็นที่นิยมค่ะ คุณดาเลียแนะนำร้านคนเล แต่ปิดให้บริการ เราเลยลองร้านรักษ์เล (คืนที่สาม) นี่ขนาดเราพูดภาษาไทยได้ ยังรอเกือบชั่วโมงกว่าจะได้กิน ลูกค้าหลายๆท่านต้องช่วยกันจัดแจงเสิร์ฟกันเอง ถ้านั่งรอเฉยๆ คืนนี้คงไม่ได้กินแน่ๆ แต่พอเราได้อาหารเพิ่งเข้าใจคำว่ากุ้งเผา สด หวาน นั้นเป็นอย่างไร เจ้าปูม้าย่างตัวโตก็อร่อยมากๆ ค่อยคุ้มค่าเวลาคอยหน่อยค่ะ

โรตี (Pancake) ก็ท่าทางจะเป็น ของทานเล่นยอดนิยมบนเกาะแห่งนี้ แต่จัดร้านมีสีสันดีค่ะ


เกาะหลีเป๊ะในตอนกลางวัน

ถ้าหากไม่ซื้อทัวร์ออกไปเที่ยวเกาะอื่นๆ ก็ชิวชิวบนเกาะหลีเป๊ะได้ (แต่จะมาทำไม ถ้าไม่ได้ไปทัวร์เกาะสักวันหนึ่ง)

อย่างพวกเราอยู่เพิ่มอีกหนึ่งคืนกับหนึ่งวันจากแพคเกจทัวร์ ทำให้มีเวลาผ่อนคลายบนเกาะหลีเป๊ะค่ะ เกาะหลีเป๊ะในตอนเช้า เงียบเหงา พวกเราทดลองทานอาหารเช้าในถนนคนเดิน ซึ่งเปิดกันไม่กี่ร้าน แต่ราคาก็เอาเรื่องเช่นกัน (จริงๆ ทางรีสอร์ทมีบุฟเฟท์ให้บริการ อาหารสดกว่า อร่อยกว่า แต่บางวันคนเยอะมาก ที่นั่งไม่เพียงพอกับแขกที่เข้าพัก พวกเราเลยออกไปทานข้างนอกกันค่ะ)

เดินเล่นๆ ในตอนเช้า สายๆ บ่ายๆ มีน้ำทะเลใสๆ ยั่วใจอยู่หน้าที่พัก ทำให้พวกเราโดดลงน้ำเกือบทุกๆชั่วโมงแบบอดใจไม่ได้ ตอนเย็นจะเห็นฝรั่งตัวแดง คนไทยตัวเขียวเลยไม่ใช่เรื่องแปลกค่ะ

กิจกรรมที่พวกเราจะขาดไม่ได้คือ นวดไทย ทางรีสอร์ทบันดาหยา มีบริการนวดไทยบริเวณชายหาด ได้บรรยากาศสุดๆ

ซึ่งสนนราคาแล้วเท่ากันทุกร้านทั้งเกาะค่ะ คือเริ่มต้นที่ ชั่วโมงละ 300 บาท โปรแกรมนวดที่เป็นที่นิยมของชาวมาเลย์คือนวดอโรม่า ต้องวาบหวิว เพราะว่าแก้ผ้าหมด มีแต่ผ้าห่มคลุมไว้ค่ะ ส่วนฝรั่งก็คงเป็นโปรแกรม sun burn คือพอกด้วยครีมว่านหางจรเข้ช่วยเรื่องโดนแดดเผาไหม้ค่ะ ส่วนเราชอบนวดแผนไทย ที่ช่วยเรื่องเมาเรือได้ค่ะ

แต่ที่ใดมีนักท่องเที่ยว ที่นั่นก็ย่อมมีขยะ ทางบันดาหยารีสอร์ทมีพนักงานคอยดูแลทำความสะอาดรอบๆ หาด เห็นแล้วก็ชื่นใจค่ะ แต่ทางเกาะหลีเป๊ะก็ขอความร่วมมือจากนักท่องเที่ยว ว่าอย่าทิ้งขยะลงในทะเล หรือ ชายหาด…


สำหรับทริปหลีเป๊ะในครั้งนี้ เราแอบถามคุณดาเลีย ถึง เคล็ดลับการมาเที่ยวเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งคุณดาเลียแนะนำว่า ให้พวกเรากลับมาเที่ยวอีกครั้งในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (พฤศจิกายน – เมษายน) ซึ่งเป็นช่วงที่เกาะหลีเป๊ะ สวย เป๊ะเว่อร์กว่านี้หลายเท่าค่ะ แต่หากมาเกาะหลีเป๊ะเป็นครั้งแรก (เหมือนพวกเราตอนนี้) คุณดาเลียขอแนะนำ โดยไม่ได้ค่าคอมมิชชั่นใดๆ ว่า ให้ซื้อแพคเกจทัวร์มาอย่างพวกเราค่ะ เพราะว่าการเดินทางมาหลีเป๊ะนั้นยากจริงๆ (อันนี้พวกเราเห็นด้วย 100% ค่ะ)
แต่หากว่างอยากมาเดือนไหนก็ได้ เกาะหลีเป๊ะ ก็ยินดีต้อนรับ แต่ คุณดาเลียบอกว่า ให้เลือกมา ในวันขึ้น หรือแรม 6-12 ค่ำของแต่ละเดือนค่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องไสยศาสตร์นะคะ แต่คนพื้นที่รับรองมาว่า เป็นช่วงที่ดี และปลอดภัยที่สุดในการมาเยือนเกาะหลีเป๊ะในแต่ละเดือนค่ะ


ส่วน Top 3 โรงแรมที่พวกเราสำรวจมาแล้วในเกาะ คือ Sita Resort, Bundhaya Resort (อยู่หาดพัทยา และใกล้กันค่ะ) และ Idyllic Resort ค่ะ ส่วนอีกโรงแรมที่เราเห็นตอนร่องเรือทัวร์ คือ Mountain Resort ดูดี มีสไตล์ ท่าทางวิวจะสวยดีค่ะ


สุดท้ายคุณดาเลียฝากบอกให้ นักท่องเที่ยวคนไทย มาเที่ยวหลีเป๊ะกันเยอะๆ ค่ะ (ปกติจะมีแต่นักท่องเที่ยวชาวมาเลย์ที่มาเที่ยวเกาะหลีเป๊ะทั้งปี ฝรั่งหรือชาวต่างชาติจะนิยมมาช่วงเดือนตุลาคม ถึง มีนาคม ส่วนนักท่องเที่ยวไทย จะเป็นนักเรียน นักศึกษา และจะเดินทางมาเกาะหลีเป๊ะช่วงปิดเทอมกันค่ะ)


เราคิดว่า หากเพื่อนๆ หรือท่านที่กำลังอ่าน และสนใจไปเที่ยวเกาะหลีเป๊ะ ก็ควรต้องหาโอกาสไปให้ได้ เพราะตอนนี้ เรายังไปเจอชาวเลมาพายเรือรับจ้าง หรือ ทำงานที่ตนรักบนเกาะบ้านเกิด แต่หากที่วันใดเกาะหลีเป๊ะอิ่มตัว กลายเป็นเกาะนักท่องเที่ยวที่คนงานบนเกาะต่างก็เป็นแรงงานจ้างมาจากที่อื่น ตอนนั้น อาจจะไม่ได้บรรยากาศเหมือนพวกเราในตอนนี้ค่ะ…

อ่านต่อวันเดียวเที่ยว 4 เกาะเพื่อนบ้านบ้านเกาะหลีเป๊ะ ได้แก่ เกาะหินงาม เกาะยาง เกาะราวี และเกาะอดัง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll Up