เที่ยวโตเกียวหน้าหนาว โตเกียวครั้งแรก โตเกียวพักที่ไหน กินเที่ยวช๊อป 5คืนเต็มๆ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า เราเดินทางไปโตเกียวจากปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งตอนนี้เขายังไม่มีสายการบินตรงไปยังสนามบิน Haneda (ซึ่งเป็นสนามบินที่ใกล้กับโตเกียวที่สุด)
แต่เราสามารถบินตรงจากปูซานไปสนามบิน Narita ได้และใช้เวลาบินเพียงแค่ 2ชั่วโมงเท่านั้น จากนั้นก็นั่งรถไฟ เข้าไปในโตเกียวอีกชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งก็ไม่ยากเย็นแสนเข็ญอะไร และดีกว่าที่ต้องนั่งเครื่องบินสองต่อ
แต่หากเดินทางจากประเทศไทย หรือประเทศที่สามารถบินตรงไปสนามบิน Haneda ก็จะดีกว่าค่ะ
ดังนี้ทริปนี้ที่โตเกียวของพวกเรา จะเดินทางระหว่างสนามบินNarita กับ โตเกียวเป็นหลัก…
สายการบินปูซาน
การจองเที่ยวบินปูซาน ผ่านทางเว็บไซต์นั้น ต้องสังเกตุให้ดีว่า ราคาตั๋วเครื่องบินที่เราเลือกนั้น รวมกับค่ากระเป๋าหรือเปล่า ถ้าไม่รวมก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม หรือ แบกขึ้นเครื่องได้ แต่ต้องไม่เกิน 10 kg (ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็แบกขึ้นเครื่องกัน ทำให้ชุลมุนวุ่นวายมากตอนเอากระเป๋าใส่ในช่องด้านบนที่นั่ง ถ้าขึ้นเครื่องหลังๆ ก็อาจจะถูกยัดกระเป๋าในช่องที่ว่างที่ใดสักหนึ่ง ซึ่งจะหายากตอนลงจากเครื่อง…)
ส่วนที่นั่ง ถ้าหากจะเลือกเอง จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ประมาณ 1-5แถวหน้าสุด จะแพงหน่อย ราคาที่นั่งละ 15,000วอน (หรือประมาณ สี่ร้อยกว่าบาท) ส่วนแถวกลางๆ จะประมาณคนละ 10,000วอน หรือประมาณ 300กว่าบาท แล้วแถวหลังๆ นั้น จะประมาณ 9,000วอน หรือ200กว่าบาท
ถ้าหากไม่เสียเพิ่ม เขาก็จะเลือกที่นั่งให้เราเองตอนเช็คอินแต่ก็จะได้ที่นั่งท้ายๆ ก่อน และถ้าเดินทางเป็นคู่ อาจจะไม่ได้นั่งด้วยกันก็ได้
ประสบการณ์ของพวกเราคือ ขาไปเราเลือกที่นั่งหน้าๆ ไม่ทัน ได้ตรงกลางๆ ประมาณแถวที่8 นั่งหัวเข่าชนกับที่นั่งด้านหน้าเลย คนตัวใหญ่ก็จะลำบากหน่อย แต่ขากลับเราเลือกแถวที่2 ได้ทัน ก็จะนั่งสบายกว่า
แนะนำอย่าเลือกแถวที่1เลยเพราะว่าช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะนั้นเขามีไว้ให้ใส่ของเขาจะเอาของของเราไปใส่ในช่องอื่นแถวหลังๆ แทน ดังนั้นถ้าเลือกแถวที่1ต้องขึ้นเครื่องเร็วหน่อยจะได้เอากระเป๋าไปฝากช่องใกล้เคียงได้ เราเห็นคนที่นั่งแถวที่1ขึ้นเครื่องช้า แอร์ฯเขาเอากระเป๋าไปเก็บในช่องแถวกลางๆโน่น…มันจะลำบากตอนเครื่องลงจอด เพราะคนจะลุกขึ้นยืนแล้วเราจะเดินทะลวงย้อนหลังไปเอากระเป๋ายากลำบากค่ะ!
นี่ถ้าไปโตเกียวอีก อยากจะบินกับสายการบินอื่น ไม่ใช่เพราะที่นั่งแน่นนะคะ เพียงแต่ไม่ประทับใจในการบริการของทางสายการบินเลย…
พักที่ไหนดีในโตเกียว คำตอบคือ ไม่รู้ค่ะ 555
แต่ประสบการณ์ของเรา คือเราเลือกพักอยู่ใกล้สถานี Shimbashi
จริงๆ มีหลายๆย่านที่น่าพักในโตเกียว แต่ที่ shimbashi ก็สะดวกสบายดี เพราะทุกที่ที่เราไปตลอดทริปนี้ ก็สามารถเดินทางจากสถานี Shimbashi ง่ายดาย และไม่ไกลเลย
ย่านชินจูกุ (Shinjuku) ก็ใจกลางเมืองดี เหมาะสำหรับคนที่ชอบเที่ยวกลางคืน ผับ บาร์ แบบญี่ปุ่นๆ แต่ท่าทางค่าห้องพักจะแพงมาก หรือไม่ก็ ห้องน่าจะเล็กมาก ซึ่งน่าจะไม่ต่างจากย่าน Shibayu (ที่มีรูปปั้นน้องหมา)
ย่านกินซ่า (Ginza) ก็โอเค ตอนแรกเราจะไปพักที่นี่ แต่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนใจไปพักที่ Shimbashi สะงั้น
ย่าน Roppongi น่าจะเหมาะกับหนุ่มสาวที่ชอบเที่ยวกลางคืนแบบอินเตอร์ๆ เพราะที่นี่เป็นย่านสถานฑูตฯ ประเทศต่างๆ เหมาะกับชาวต่างชาติที่ชอบแนวๆเที่ยวกลางคืนแบบแนวฝรั่งๆ ค่ะ ที่นี่เราแว่ะไปทานมื้อค่ำที่ Tony Rama’s ซึ่งเป็นชั้นล่างของร้าน Hard Rock Cafe ย่านนี้ ตลอดถนน ตามหน้าผับ หน้าบาร์ จะมีหนุ่มผิวเข้มๆ เนื้อแน่นๆ มายืนเรียกลูกค้าเข้าร้านค่ะ
แต่ลองดูแถว Asakusa ดู ที่นี่ใกล้วัดที่ดังที่สุดในโตเกียว หรือ แถวๆ Tokyo Dome ก็น่าสนใจ (มีทั้งชิงช้าสวรรค์ที่เข้าไปนั่งชมวิวเมืองโตเกียวได้แล้ว ยังร้องคาราโอเกะได้ด้วยอีก หรือ เล่น rollercoaster (รถไฟเหาะ) แถมใกล้ห้างสรรพสินค้าLaQua ซึ่งมีสปาที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปแช่น้ำพุร้อนได้ ที่นี่อยู่ติดกับสถานี Karakuen ที่เราแว่ะไปทาน Bubba Gump กัน
ทำไมเราพักที่ Park Hotel
หลังจากเราเลือกย่านที่พักใน Shimbashi เราก็เลือกโรงแรม โดยเลือกโรงแรมที่สามารถเดินเข้าถึงได้จากสถานีรถไฟ (Metro Access) ซึ่งก็มาลงตัวที่โรงแรม Park Hotel
จากสนามบิน Narita มาที่ สถานี Shimbashi มีรถไฟด่วนพิเศษที่ซื้อตั๋วครั้งเดียว จากสนามบินนาริตะ นั่งตรงดิ่งมาสถานี Shimbashi ได้เลย ซึ่งใช้เวลาประมาณ 80นาที และค่าตั๋วคนละ 1150เยน หรือประมาณคนละ 300กว่าบาท
แต่รถไฟสายนี้น่าจะมีทุกๆ30นาทีอย่างไรให้ซื้อตั๋วกับเจ้าหน้าที่ที่สถานีดีที่สุดค่ะ
พอถึงสถานี Shimbashi และเดินออกจากสถานีที่ชั้นใต้ดิน (อย่าทิ้งตั๋วรถไฟนะคะ ต้องใช้ตอนขาออกจากสถานีอีก) เดินตามทางออกไปยังตึก Shiodome ซึ่งเป็นตึกที่โรงแรม Park Hotelอยู่ เราสามารถเดินทะลุทะลวงเข้าถึงตึกได้ที่ชั้นใต้ดินของรถไฟฟ้าได้เลย สะดวกสบายดี
รร Park Hotel มีล้อบบี้อยู่ที่ชั้น 25 แล้วห้องพักของโรงแรมน่าจะเริ่มตั้งแต่ชั้นที่ 30 (ของเราพักที่ชั้น 32) ดังนั้น ต้องขึ้นลิฟท์สองต่อ คือ จากชั้นล่างมาที่ชั้น 25 แล้วเปลี่ยนเป็นลิฟท์ของโรงแรม เพื่อขึ้นไปที่พัก…
ห้องพักสะอาด แม่บ้านทำความสะอาดดี ของใช้ในห้องน้ำอย่างดีและไม่อั้น แต่น้ำเปล่าในห้องขวดล่ะ 300เยน (โชคดีข้างล่าง ของตึกมีร้าน แฟมิลี่มาร์ท)
ที่นี่ดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาโตเกียวครั้งแรก โอกาสหลงมีน้อยมาก
มาถึงคืนแรก เช็คอินที่โรงแรมก็เกือบสองทุ่มแล้วค่ะ ตกลงกันว่าจะไปทานมื้อค่ำที่ ฮาร์ดร็อคคาเฟ่ ที่สถานี Roppogi แต่พอไปถึงก็เปลี่ยนใจทานที่ Tony Rama’s ซึ่งเป็นชั้นล่างของตึก Hard Rock Cafe
วันที่สอง ตลาดปลา Tsukiji Market (สถานี H10: Tsukiji) และตอนเย็นไปเดินที่ Shinjuku (E27: Shinjuku สามารถเดินทางด้วยรถไฟสายอื่น แต่เราพักอยู่ใกล้กับ สถานี E09: Shiodome)
วันที่สาม ไปแช่ออนเซนที่ Hakone ค่ะ เราไปซื้อตั๋วรถไฟที่สถานที่ Shinjuku ก่อน เพื่อความชัวร์ หรือสามารถจองตั๋วรถไฟออนไลน์ได้ที่ https://www.odakyu.jp/english/ แต่ถ้าไม่ชำนาญทางที่สถานี Shinjuku ให้ไปถึงล่วงหน้าสัก 30-40 นาทีก่อนที่รถไฟจะออก เพราะสถานี Shinjuku เป็นสถานีใหญ่ เชื่อมระหว่างกันด้วย ห้างสรรพสินค้าฯ และร้านค้ามากมาย อาจจะหลงในสถานีได้…
เดินทางไป Hokone ใช้เวลาประมาณ 80-90นาที ไปแช่ออนเซนแบบส่วนตัว ที่ Hakone Yuryo ซึ่งเขามีรถมินิบัส รับส่งฟรีที่สถานีรถไฟ Hakone ทุกๆ 10-15นาที เราจองห้องแช่ออนเซนส่วนตัวผ่าน อีเมล์ yuryo@hakoneyuryo.jp แต่เราเห็นนักท่องเที่ยวบางคนก็ Walk-in ไปเลยค่ะ
และที่สถานีรถไฟ Hakone มีร้านค้า ของกินของฝากมากมายด้วยค่ะ ดังนั้นไปซื้อตั๋วขากลับที่สถานีได้เลย สะดวกสบายมากๆ *วันนี้ถือว่าเป็นวันที่พวกเราชอบมากวันหนึ่งของทริปโตเกียวครั้งนี้เลยค่ะ*
ตอนเย็น เราทานราเมน เนื้อวากิว Mensho San Francisco ที่ตึก MyLord ซึ่งเป็นตึกเดียวที่สถานี Shinjuku ที่เรานั่งรถไฟกลับมาจาก Hakone เลยค่ะ จริงๆ ก็ไม่ได้อร่อยอะไรมากมาย แถมแพงด้วย ถ้วยละเกือบ 700บาท!!!
วันที่สี่ เริ่มตอนเช้าที่ สถานีShibayu ย่านวัยรุ่นๆ ที่นี่มีร้านฟาสต์ฟูดมากมายหลายขนาน ไม่ว่าจะเป็น McDonald, KFC, Wendy’s, Burger mos etc. แต่เขานิยมไปทานชีสทอด กับคาบับกันค่ะ ที่นี่คนจะจำได้ว่า มีรูปปั้นน้องหมาผู้ซื่อสัตย์ฮาชิโกะ (Hashiko) และรายล้อมไปด้วยห้างดังๆ มากมาย แถมผู้คนก็เยอะมาก เยอะจนเขาว่า ทุกๆ ไฟเขียวที่สำหรับให้คนข้ามถนน จะมีคนกว่า 3000คน ข้ามถนนทุกๆไฟเขียวนั้นเลยค่ะ
ที่นี่สำหรับพวกเรา ก็เฉยๆ ค่ะ อาจจะเป็นเพราะเรามาถึงที่นี่ก่อน 11 โมงเช้า ซึ่งร้านค้าเพิ่งทยอยกันเปิดร้าน..
จากนี้ไปสถานี Harajuku ที่นี่มี Meiji Jingu Shrine (ศาลเจ้าขนาดใหญ่)ซึ่งกว้างขวางมาก และฝั่งตรงข้าม เป็นถนนTakeshita Street ซึ่งเป็นถนนคนเดินที่คนเยอะมาก เยอะจนเขาว่า เดินเบียดกันเลยค่ะ และมันก็จริงๆ คนเยอะมาก ที่นี่เราซื้อได้แค่ชานมไข่มุก (ของไต้หวัน) ที่เขาทำไข่มุกให้เห็นกันสดๆ แต่รอคิวนานมาก อย่างอื่นแพงไปหมด เสื้อยืดธรรมดาๆ เริ่มตัวละ เกือบหนึ่งพันบาท!!!
หาซื้อเครปหน้าครีมบุเล่ เขาบอก sold out (sold out แต่เช้าทุกร้านเลย) คิดว่า น่าจะเลิกทำขายกันแล้วมากกว่า…
ตอนเย็น เราซื้อทัวร์เที่ยวบาร์ในย่าน Shinjuku กับ Magic Trip สามารถจองผ่านเว็บไซต์เขาได้ที่ https://www.magical-trip.com/ ซึ่งเขามีทัวร์ให้เลือกมากมาย และทั่วไปในญี่ปุ่น (ทั้งโอซาก้า เกียวโต ฯลฯ)
ทัวร์ของเราราคาคนละ ประมาณ 2700บาท ($90) ซึ่งราคานี้จะรวมเครื่องดื่ม และกับแกล้ม ตลอดทัวร์ (ประมาณสามร้าน) รวมๆ ก็ดีนะ แต่ร้านอาหารที่เขาพาไป จะอนุญาติให้สูบบุหรี่ในร้านได้ ซึ่งเรานั่งข้างๆ คนสูบบุหรี่เลยค่ะ แบบพ่นใส่เราข้างๆ เลยค่ะ ก็ไม่ได้รังเกียจนะ แต่ร้านมันเล็กมาก
ที่ Shinjuku นอกจากมีห้างฯร้านฯ ใหญ่ๆ ดังๆ แล้ว ยังมีซอยเล็ก ซอยน้อย ซอยเก่าแก่ ซอยมีที่มา ซอยเกจิชาสมัยก่อน ฯลฯ นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูป หรือนั่งดื่ม นั่งทานอาหารกัน ทัวร์นี้ก็ดีเหมือนกัน เหมือนมีเพื่อนพาดื่ม พาเดิน…
ปล. กับแกล้มที่เลือกแบบรวมปิ้งย่าง มีเครื่องในไก่ด้วย ประเด็นคือ เขาปิ้งไม่สุก เลือดแดงเลย นึกว่ามีแต่ปอบนะที่กินไก่ไม่สุก555
วันที่ห้า วันนี้ไปวัด Sensoji วันนี้เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียวค่ะ อยู่ที่สถานี Asakusa ที่นี่นอกจากมีวัดเก่าแก่ที่สวยงาม และมีนักท่องเที่ยวเยอะมาก (ขนาดเราเลือกที่จะมาวัดนี้วันจันทร์แล้วนะ ไม่รู้จะคนจะแน่นขนาดไหนวันเสาร์ อาทิตย์???)
ที่นี่นอกจากจะไปเสี่ยงเสียมสี (100เยน) แล้วทั้งด้านหน้าวัด และรอบๆ วัด มีร้านถนนร้านค้ามากมาย ซึ่งมีของกินเล่นดังๆ เต็มไปหมด แนะนำว่า ไปหาอะไรทานเล่นๆ ที่นี่ก็ดีนะ ทานเล่นๆ แต่อิ่มจริงๆ เพราะมีหลายร้านมาก
คำเตือน ที่นี่มีร้านซูชิสายพานร้านหนึ่ง ติดป้ายไว้หน้าร้านว่าเป็นร้านซูชิสายพานที่ดีที่สุดในโตเกียว และเคยออกทีวีโชว์ด้วย อย่าเข้าไปทานเด็ดขาดค่ะ เพราะเป็นร้านซูชิที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต ปลาไม่สดเลย ดูแห้งๆ แถมสายพานซูชิเหมือนสายพานร้าง ไม่ค่อยเอาอาหารวางบนสายพานเลย แพงมากด้วย ถูกสุดคือข้าวปั้นไข่เจียว สองชิ้น 30กว่าบาท อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง คำละ ร้อยกว่าบาท ถ้าอยากทานซูชิจริงๆ นั่งรถไฟกลับไปทานที่ตลาดปลา Tsukiji หรือแถวๆ สถานี Ueno ดีกว่า!!!
เดินเลยไปอีกหนึ่งสถานีรถไฟฟ้า เป็นถนนเชฟ มีเครื่องของใช้ในครัวมากมาย โดยเฉพาะพวกงานครัว มีด จาน หรือของใช้แบบ gadget ในครัว ที่ปอกผลไม้ ที่ซอยผัก หั่นกระเทียม ของกระจุกกระจิก ก็เพลินดีค่ะ
ตอนเย็นแว่ะไปทานมื้อเย็นที่ Bubba Gump แถว Tokyo Dome (สถานี Karakuen)
จบทริปค่ะ เดินทางกลับปูซานในวันรุ่งขึ้น…
เก็บตกเล็กๆ น้อยๆ ที่โตเกียว
– ร้าน Denny’s ซึ่งเป็นร้านอาหารที่ชาวอเมริกันรู้จักกันดี แต่ที่โตเกียว เมนูจะถูกปรับไปหมด พวกเราผิดหวังมากๆ เมื่อไปทานอาหารเช้าที่นี่ เพราะไม่มี Denny’s Grand Slam ซึ่งเมนูหลักของ Denny’s !!!
– สินค้าของญี่ปุ่นที่ร้านMujiหรือUniqlo ราคาสมเหตุสมผลและคุณภาพดี ทั้งเสื้อผ้า และของใช้
– ร้าน BIC Camera ไม่ได้มีแต่คาเมร่า หรือ กล้อง แต่มีของใช้ไฟฟ้ามากมาย สาวๆ สามารถไปเลือกซื้อไดร์เป่าผม ซึ่งน่าจะมีให้เลือกว่าพันแบบ ที่มาร์คหน้าไฟฟ้า หรือ ของใช้เก๋ๆ มากมาย เหมาะเป็นของขวัญของฝากสำหรับคนที่ชอบเทคโนโลยี หรือสินค้าดิจิตอลค่ะ
– สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน บางสถานี ลึกลงไปใต้ดินมากๆ บันไดเลื่อนบางอันขึ้นไปขั้นสุดแล้วแทบจะมองไม่เห็นขั้นแรกเลยค่ะ
– ที่ญี่ปุ่นเขาไม่ทิปกันนะคะ แต่เราดันเห็นฝรั่งสามคนที่ไปทัวร์บาร์ฯ กับพวกเราทริปไกด์ (แล้วไกด์เขาก็ดีใจด้วยอ่ะ) ตกลง ทิปหรือไม่ทิปล่ะเนี่ย??? ใครรู้ช่วยบอกที…
– ที่โตเกียวมี Tokyo Kart ที่เขาขับรถ Go-Kartผ่านถนนจริงๆ ถนนหลักๆ ของโตเกียว สนนราคา คนละสามพันกว่าบาท ต้องมีใบขับขี่อินเตอร์ฯ ด้วย เราเห็นแล้วก็น่าสนุกดี แต่ว่าพวกเราคงแก่เกินไปที่จะขับ Go-Kart ตั้ง2ชั่วโมง…จองผ่าน Klook.com อาจจะมีส่วนลด หรือ จองตรงได้ที่ https://tokyokart.com/