ตะลุยจีน “เฉิงตู-ซีอาน” วันที่3 จินติ่ง ง๊อไบ๊

English version: Day3 Emei Mountain, Chengdu – China
วันที่ 3 เทือกเขาเอ๋อเหมยซาน (เขาง๊อไบ๊) จินติ่ง และหนึ่งในวัดที่ใหญ่ที่สุดบนภูเขา Wannian Temple
แค่เริ่มโปรแกรมการเดินทางเวลา 6 โมงเช้าก็เป็นสัญญาณบอกว่าวันนี้ต้องไม่ธรรมดาแล้ว!  ไกด์มารอรับหน้าประตูตรงเวลาแป่ะๆ เราก็เดินออกมาเช็คเอาท์แบบสลึมสลือตามเวลาที่นัดหมายเช่นกัน


โชคดีที่มีไกด์คอยบอก เพราะขึ้นเขาที่นี่ ควรจะใส่เสื้อผ้าอุ่นๆ สวมใส่รองเท้าสำหรับปีนเขา ก็เลยได้เตรียมตัวดีพอสมควร เพราะว่าเราจะต้องเดินกันแบบเมามันแน่ๆ!

ไกด์ยังบอกให้เราพกแต่ของที่จำเป็นเท่านั้น ส่วนของอื่นๆ ให้ฝากไว้ที่รถ อย่างแรกเพราะว่า เราไม่สามารถจะนำรถของเราไปเองได้ ต้องขึ้นรถบัสไป อย่างที่สอง หนทางกี่ลี้นั้น ไม่สามารถบอกได้ ดังนั้น ทำตัวให้เบาและสบายเป็นดีที่สุด…

ภาพทางด้านขวามือ แผนที่ที่ถ่ายจากสวนธารณะเมื่อเย็นวันก่อน ก็พอจะรู้เลยว่า วัดที่เราจะไปดูวันนี้อยู่สูงมาก

6 โมงเช้าที่นี่หนาวมากๆ ฝนเจ้ากรรมก็ลงเม็ดปรอยๆ…

ด้วยความที่มืดมาก เลยไม่สามารถจะบรรยายได้ว่า ไกด์พาเรามาขึ้นรถที่ไหน รู้แต่ว่าราคาค่ารถไปกลับ ก็คนละ 95Y (475 บาท) ราคาตั๋วทุกอย่างที่ไกด์ซื้อให้เป็นราคาอยู่ในโปรแกรมแล้ว (ถ้าคำนวณจริงๆ ก็คิดว่าเราคุ้มนะ…)


บริเวณที่รอรถ ก็จะมีคนมาขายเสื้อกันฝน ซึ่งพวกเราก็ซื้อกันคนละตัว แม้ว่าฝนไม่ได้ตกหนัก แต่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด (จริงๆ ดีกว่าพกร่มเป็นไหนๆ)

เสื้อกันฝนที่เขาขายเป็นพลาสติกบางๆ แต่ก็พอได้ใช้ ราคาตัวละ 5Y (25บาท) แต่ก็มาโดนตื้อให้ซื้อไม้เท้า ที่ตัดมาจากไม้ไผ่ ที่ซื้อก็เพราะว่าส่วนหนึ่งมาจากรำคาญ  โดยเขาขาย 2 อัน 5Y (25บาท) ตอนแรกนึกว่าไม้เท้า ไว้ช่วยพยุงเดิน แต่ไกด์บอกว่า เอาไว้ไล่ลิงป่า หลังจากได้ไม้เท้าคู่ ก็ได้เวลาขึ้นรถมินิบัสซะที… (จะซื้อทำไมก็ไม่รู้ เขาก็บอกว่าให้ทำตัวมีภาระน้อยที่สุด เลยให้แบกไปเลยค่ะ คนเดียวสองอัน!)


ไกด์ดันมาบอกอีกว่า เตรียมตัวเมารถให้ดีนะ เพราะว่าทางขึ้นเขานั้นโค้งเยอะมาก (อืม แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่เมื่อคืนอ่ะ ยาดมยาหม่องอะไรก็ไม่ได้เตรียมมา!)
และก็จริงของไกด์ หากใครเคยไปแม่ฮ่องสอน ก็อารมณ์ประมาณนั้นเลย แต่ว่าเทือกเขาที่นี่ใหญ่มาก ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดจนถึงปลายเขาก็เกือบๆ สองชั่วโมง (แต่เขาก็แว่ะพักครึ่งทาง ให้เข้าห้องน้ำ – ใครเข้าได้ก็คงมีวิชาตัวเบาแล้วล่ะ เพราะห้องน้ำเขาสกปรกมาก เผลอมองลงไปให้โถนิดเดียว โอ้ แม่เจ้า เป็นอย่างที่เขาล่ำลือจริงๆ เห็นแล้วเกือบจะอ๊วก ไม่ต่างอะไรกับหินงอก หินย้อยเลย คือที่พื้นก็เรียกว่างอกขึ้นมาเลย ที่ผนังก็เหมือนอะไรย้อยเต็มไปหมด…..จ๊ากกก!)

อย่างไรก็ตาม เราก็ตะเกียกตะกายไปจนถึงปลายเขา แม้ว่าจะทรมานไปนิดหนึ่ง ประกอบกับไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่ออกจากโรงแรม (แหม แต่เราก็ไม่มีอารมณ์จะกินอะไรแล้วล่ะ หลังจากเห็นอะไรที่ออกจะอลังการงานสร้างในห้องน้ำขนาดนั้น!!!)
ตอนแรกนึกว่าจะได้ขึ้นกระเช้าลอยฟ้าเลย ที่ไหนได้เราจะต้องเดินขึ้นไปอีกประมาณ 30 นาที ซึ่งตรงทางขึ้นเขาก็มีบริการให้เช่าเสื้อกันฝนพร้อมกันหนาวได้ด้วย (ค่าเช่าตัวละ 20Y หรือประมาณ 100บาท แต่ว่าต้องวางเงินมัดจำไว้ 100Y หรือประมาณ 500บาท)  นอกจากนี้ ยังมีลูกหาบไว้บริการ สอบถามราคาจากไกด์เขาบอกว่าประมาณเที่ยวละ 160Y หรือประมาณ 800 บาทต่อคน (แต่ดูจากแปลที่ใช้หาบ ท่าทางจะแบกน้ำหนักคนของเราไม่ไหว ตกมาคงหลังหักแน่ๆ)

 
เดินไปหนาวไป แอบรำคาญเสื้อกันฝนแต่ก็ถอดไม่ได้เพราะว่าฝนตกตลอดเวลา (ตกแบบละอองฝน…)

แต่ในที่สุดเราก็ได้ตั๋วขึ้นรถกระเช้าไฟฟ้าที่ราคาไปกลับคนละ 120Y แต่ก็ต้องเข้าแถวเพื่อไปรอคิวเข้ากระเช้า เพื่อเข้าไปในห้องรอกระเช้า!?!?!?! พอเดินมาถึงห้องรอกระเช้าไฟฟ้า ไกด์บอกเราว่า ถ้ากระเช้าไฟฟ้ามา เมื่อประตูด้านไหนเปิดก็ตาม ให้รีบกระโดดเข้าไปเลยนะ โหย แล้วที่เดินต่อแถวมาตลอด ตั้งแต่ซื้อบัตรมาเนี่ย เพื่อการใดค่ะ???
และก็จริงอย่างเช่นคำไกด์บอก เมื่อกระเช้าไฟฟ้ามาแล้ว ก็จะเห็นว่าทุกคนกระโดดกรูเข้าไปพร้อมๆ กันอย่างไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยดีมาก!


ภาพซ้าย: ต่อแถวอย่างเป็นระเบียบเพื่อจะเข้าไปในห้องรอกระเช้าไฟฟ้า ภาพขวา:สภาพแออัดในกระเช้า
โหย กระเช้าใหญ่มาก บรรจุคนประมาณ 100+1 คน (ผู้โดยสาร 100คน คนขับอีก 1 คน)
มองออกไปรอบๆ กระเช้า เห็นต้นไม้ปกคลุมเทือกเขาเต็มไปหมด หมอกหนา จนมองไม่เห็นพื้นดินเลย ไกด์บอกว่า ที่ยอดเขาแห่งนี้มีความสูงถึง 3,000 กว่าเมตร (แอบเป็นกังวลว่า กระเช้าเราแบกคนหนักไปหรือเปล่า???) แต่ใช้เวลาประมาณ 15 นาที กระเช้าก็ถึงที่จอดให้ลงค่ะ แต่ไม่ได้หมายความมาถึงแล้ว เราก็ต้องต่อไปอีกเกือบ 15 นาทีแน่ะ ยิ่งเดินก็ยิ่งมีหมอกหนาขึ้นเรื่อยๆ เพราะนั่นคือ เรายิ่งเดินขึ้นสู่ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง


เราเดินขึ้นบันไดมาที่ละขั้นๆ เพราะหนาว และเริ่มหมดแรง แต่เริ่มมองเห็นรูปปั้นและเศียรช้างผ่านม่านหมอกให้เห็น ซึ่งภาษาไทยตามป้ายเขาเรียกว่าจินติ่ง แต่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Golden Summit
เขาเอ๋อเหมยซัน หรือเขาง้อไบ๊ ที่ได้รับการขนานนามว่า“เมืองในหมอก” ถือเป็น 1 ใน 4 พุทธคีรีที่สำคัญของประเทศจีน ซึ่งสถานที่แห่งนี้มีวัดวาอาราม และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ตั้งอยู่มากมายและมีพระสงฆ์จำวัดอยู่บนเขาหลายพันรูป ที่เขาแห่งนี้ยังมีวัฒนธรรมที่งดงาม มีพืชพันธุ์ รวมทั้งสัตว์หายากอีกหลายชนิด โดยเฉพาะผีเสื้อ

ไกด์เดินนำพวกเรานมัสการองค์พระสมันตภัทร มหาโพธิสัตว์ 1 ใน 7 พระมหาโพธิสัตว์ ที่เป็นที่นับถือทางพระพุทธศาสนามหายาน มีพระพักตร์ 10 ทิศ สูง 48 เมตร ทรงคชสารเผือก 6 งา โดยช้างเผือกหกงานั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ในบรรดาคชสารด้วยกัน
บริเวณใกล้เคียงนั้นท่านสามารถชมตำหนักทองตำหนักเงิน ตำหนักสำริด และตำหนักเหล็ก ซึ่งมีความหมายว่า ได้จำลอง 4 พุทธคีรี อันได้แก่ ผู่โถซานจิ่วหัวซาน อู่ไถซาน และเอ๋อเหมยซาน มาไว้ที่ยอดเขาจินติ่ง
บนยอดเขาจินติ่งนี้ คงอยู่เดินเล่นได้ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง นอกเสียจากจะเลือกซื้อของที่ระลึกที่ทำจากหยก แต่ไกด์ก็แนะนำอย่างเป็นมิตรว่า แพง!
ที่น่าเสียดายสำหรับที่นี่ก็คือ ความงามนั้นถูกปิดบังได้ด้วยเมฆหมอก ทำให้ถ่ายรูปออกมามัวๆ แต่ไกด์บอกว่า เขามาที่นี่เดือนละครั้งเป็นเวลาเกือบสามปี แต่มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่ฟ้าเปิด แล้วมองเห็นทุกอย่างแจ่มแจ้ง (แล้วไกด์ก็โชว์รูปที่เขาถ่ายได้ตอนนั้นให้ดู) เรื่องหมอกหนาเลยเป็นเรื่องธรรมชาติของเมือง ม่านหมอก แห่งนี้ นั่นเอง…
(ภาพซ้าย) ชาวทิเบตที่มาเที่ยวจินติ่ง (ภาพขวา)จำนวนกุญแจแห่งรักที่ติดตลอดทางเดิน โดยไกด์บอกว่า คู่รักจะเอากุญแจมาติดล็อคกับที่นี่ แล้วโยนลูกกุญแจทิ้งไป เผื่อเป็นความหมายว่า ขอให้รักยืนยง ยาวนาน อะไรประมาณนั้น…

จากนั้นก็ตัดสินใจเดินลงเขาเพื่อไปขึ้นกระเช้าลอยฟ้า แล้วเดินต่ออีกหน่อย (เหมือนตอนขึ้นมา) แอบสงสารคนมีไม้ไว้ไล่ลิงป่่าถึงสองอัน  เพราะว่าไม่เห็นมีลิงป่าออกมาสักตัว ไม่แน่ใจว่าฝนตกหรือเปล่า? แต่ตลอดทางเดินเขาก็มีป้ายให้ระวังลิงป่าเหมือนกัน
แล้วก็กลับมาขึ้นรถมินิบัสแบบเดิม ไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่ง ซึ่งใช้เวลาอีกประมาณ 45 นาที เพื่อไปวัด Wannian (อันนี้ไม่รู้ว่าภาษาไทยเขาเรียกว่าวัดอะไร) แต่วัดนี้เป็นวัดที่ไกด์บอกว่า เป็นวัดหนึ่งในแปดวัดที่ใหญ่ที่สุดบนภูเขาในประเทศจีน!
แต่โชคไม่ดีสักเท่าไร หรือจะว่าซวยเลยก็ได้ เมื่อเราไปถึงวัดแล้ว ทางวัดมีการซ้อมแผนฉุกเฉิน คือทำไมต้องมีซ้อมวันนี้ด้วยก็ไม่รู้ ถ้าฝึกเปล่าๆ ก็ไม่มีใครว่าหรอกค่ะ แต่ดันไม่เปิดให้ใช้บริการกระเช้าไฟฟ้านี่สิค่ะ!!!

พวกเรารออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ไกด์เห็นท่าว่าอีกนานก็เลยตัดสินใจเดินขึ้นกันเอง

ทางเดินสะดวก แต่ตัวไกด์เองก็ไม่แน่ใจว่าไกลเท่าไร เพราะเป็นครั้งแรกที่เขาเดินพาลูกทัวร์ขึ้น แต่ก็คงไกลไม่น้อย เพราะว่ามีลูกหาบจำนวนมากพยายามถามว่า พวกเราต้องการคนหาบไหม? ดูจากสภาพแปลที่เขาใช้หาบแล้ว คิดว่าไม่ดีกว่า…

เดินขึ้นเขา เหนื่อยเอาเรื่องเลยทีเดียว นานมาก แว่ะพักบ้าง แต่ก็แอบภาวนาว่าให้ถึงซะทีเถอะ สรุปเดินขึ้นเขาใช้เวลาไปชั่วโมงเต็มๆ เราอ่ะ เดินไปบ่นไป แถมหยุดพักตลอดทาง…ก็มันไกลมากจริงๆ


ในที่สุด สวรรค์ก็บันดาลให้เรามาเดินขึ้นมาจนถึงวัด!!!


ไกด์ก็จะซื้อตั๋วให้เข้าชม ไกด์บอกแค่ว่าวัดนี้ฮ่องเต้ได้สร้างให้ลูกชายเพื่อเป็นของขวัญวันเกิด เป็นวัดเรียบๆ แต่คงความเป็นศิลปะจีนอย่างครบถ้วน

เดินดูรอบวัดแค่อึดใจ พวกเราก็ตัดสินใจกลับ ตอนแรกก็คิดว่า เขาคงเปิดกระเช้าลอยฟ้าแล้วล่ะ แต่ที่ไหนได้ เขาก็ยังไม่เปิด แต่เราก็คิดว่า ขาลงก็คงไม่เหนื่อยกว่าขาขึ้น !
ระหว่างทางลงเขา ไกด์พาเราแว่ะทานอาหารเที่ยง (แทบจะเรียกว่ามื้อเช้ามากกว่า!) ที่นี่เป็นร้านอาหาร พร้อมกับเป็นโรงแรมด้วย ตั้งอยู่ระหว่างกลางเขา (ไม่ได้ถามชื่อมา เพราะคิดว่า คงไม่ไปนอนที่นั่นหรอก) อาหารที่นี่ ไกด์เป็นคนเลือกเมนูให้ รสชาติอร่อย เค็มดีมาก ที่ดีอีกอย่าง ขอเข้าห้องน้ำได้ (เพราะเราอั้นมานาน) แต่ห้องน้ำรวมเขาก็ยังไม่สะอาดอ่ะ ไกด์เลยขอเจ้าของร้าน ให้เราเข้าห้องน้ำที่เป็นห้องพักแต่ยังไม่มีคนพัก

เราก็เลยแอบถ่ายรูปห้องพักของเขามาฝาก…

คือใครที่จะไปพักห้องพักนี้ด้วยกันได้ จะต้องรักและสนิทกันสุดๆ เพราะว่าห้องน้ำเป็นกระจกโปร่ง ไม่เก็บเสียง (แน่นอน) เพราะว่าล็อกประตูห้องน้ำไม่ได้ ไม่แน่ใจว่า จะให้โชว์ความเป็นส่วนตัวกันไปถึงไหน???

ทานเสร็จ (ยังทานลงกันอีกเหรอ?) ก็ลุยกันต่อ จริงๆ ตามที่คุยกันไว้ ไกด์ต้องพาเดินไปที่ Qingyinge แต่ว่าไม่เห็นเขาพาไป ไม่แน่ใจว่าเขาลืมหรือว่าเขากลัวเราตกเครื่องบิน เพราะวันนี้เราจะบินไปต่อที่ซีอาน
สรุป ไกด์ก็พาเขาขึ้น มินิบัส กลับมาที่สถานีรถมินิบัสที่เราขึ้นตอนเช้าตรู่ ที่ที่คนขับรถรอเราอยู่ที่นั่น (วันนี้ คนขับรถเรา ทำงานง่ายสุด!)  จากนั้นพาเราไปสนามบินเฉิงตู ซึ่งให้เวลาจากเขาแห่งนี้ไป เกือบ 3 ชั่วโมง

เมื่อเรามาถึงสนามบินเฉิงตู ไกด์กับคนขับรถที่เฉิงตูก็หมดหน้าที่ กล่าวคำลา ด้วยทิปตามธรรมเนียมของฝรั่งที่ไปด้วย ส่วนตัวเราคงไม่ให้เยอะขนาดนี้ (ทิปคนขับรถ 100Y และ ทิปไกด์ 200 Y สำหรับสองวันสองคืนที่เฉิงตู คือบอกไว้เป็นข้อมูลนะคะ ที่เมืองจีน ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องธรรมเนียมการทิป) ไกด์ยังให้ลูกปะคำเราไว้สวดมนต์ด้วย (ลูกปะคำของแท้ต้องมีกลิ่นหอมๆ ใส่ที่ข้อมือ กลิ่นฉุนแบบกลิ่นเมนทอล ใส่นานๆ แอบมึนกลิ่นค่ะ แปลกมาก!)

เที่ยวบินนี้ เราบินด้วยสายการบินในประเทศของจีนค่ะ ค่าตั๋วเครื่องบินภายในประเทศนี้ก็ยังรวมอยู่ในโปรแกรมที่ที่เราจ่ายไปด้วย (บอกแล้วว่าคุ้ม!) แต่ไม่น่าเขียนบนเครื่องบินเลยว่า “Lucky Air” อ่านแล้วรู้สึกหวั่นๆ ชอบกล คือ ไม่ต้องเขียนอะไรเลยจะรู้สึกว่า Lucky กว่าไหมอ่ะ???

ขอย่อมาว่าถึงซีอานประมาณเที่ยงคืนอย่างปลอดภัย แบบ Lucky Air เลยละกัน (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาทีค่ะ)

คนขับรถจากบริษัททัวร์มารอรับเราอย่างไม่ผิดหวัง ไกด์ที่ซีอานเป็นผู้หญิงค่ะ เธอฝากโน้ตให้คนขับรถมาให้เรา ว่าพรุ่งนี้เจอกัน 9โมงเช้า จากสนามบินซีอานมายังโรงแรม Skytel ก็ใช้เวลาเกือบๆ ชั่วโมงค่ะ ถึงแล้วนึกว่าจะได้นอนแบบชิวๆ ปรากฎว่าโรงแรมสี่ดาวที่นี่เหม็นจัง!

หลับเพราะเหนื่อยมาก วันนี้ตื่นตั้งแต่ตีห้า ปีนเขาไปสองลูก แล้วขึ้นเครื่องบินมาที่นี่อีก กว่าจะได้นอนก็เกือบตีหนึ่งแน่ะ! ของีบเอาแรงก่อนที่จะลุยวันต่อไปก่อนนะคะ…

อ่านต่อ วันที่4 ซีอาน สุสานจักรพรรดิฉินสื่อหวง ยิ่งใหญ่และอลังการมากๆ ห้ามพลาดนะคะ

About Jam

I'm Jam, the blogger, and illustrator of this website. I live in Bangkok, Thailand and Louisiana, USA when I'm not travelling.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *