เดินทางกลับเกาหลีใต้ในช่วงวิกฤติโควิด19

เดินทางจากอเมริกาฯ กลับมาเกาหลีใต้ มีวีซ่าแบบระยะยาว (บัตรเอเลี่ยน) เดินทางกับน้องหมา…

>>English
ก่อนวันเดินทาง นอกจากเตรียมใจแล้ว เตรียมอะไรบ้าง? (บางอย่างเป็นข้อกำหนดเฉพาะของบริษัทฯต้นสังกัดพวกเรา)

1. ตรวจโควิด19 ก่อนเลย อันนี้ เป็นของบริษัทต้นสังกัดคุณสามีสั่งให้ตรวจ ซึ่งเราไม่รู้เรื่องค่าใช้จ่ายอะไรเลย ผลตรวจโควิดของเรา2วันก็รู้ผล แต่ของเพื่อนเรา 5-7วันถึงรู้ผล (น่าจะขึ้นกับปริมาณกับโรงพยาบาลหรือคลินิกที่ไปตรวจว่าคนเยอะคนน้อยแค่ไหน รัฐฯไหนด้วย) แต่เจ็บมากเขาแยงก้านสำลีเข้าไปในโพรงจมูกลึกมากจริงๆ


2. ใบยืนยันว่าเรามีที่พักอาศัยในเกาหลีใต้ เอาจริงๆ ใบนี้ ไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไร เพราะเรามีบัตรเอเลี่ยน แล้วมันมีที่อยู่ข้างหลังบัตรอยู่แล้ว แต่เตรียมท่องที่อยู่ในเกาหลีให้ขึ้นใจ เพราะต้องเขียนลงแบบฟอร์มเยอะมาก (แล้วมันยาวมาก)


3. เนื่องด้วยคนที่บินตรงเข้าเกาหลีใต้ ไม่ว่าจะลงที่โซล หรือ ที่ไหน เขาห้ามต่อเครื่องบินแล้ว อย่างพวกเรา ปกติบินเข้าโซล แล้วต้องต่อเครื่องมาปูซานอีก แต่เขาไม่อนุญาติให้เราบินสายการบินในประเทศ (เพื่อลดความการแพร่ระบาด) ทางบริษัทเลยจัดรถมารับเราที่โซล เหมือนเป็นใบยืนยันว่าได้เตรียมรถมารับแล้วเท่านั้น




4. ดาวน์โหลดแอพฯ (แอพฯนี้ เขามีภาษาไทยด้วยนะ) เป็นที่รู้กันว่า เราต้องกักตัว (Quarantine) ในเคหะสถานของเราเป็นเวลา 14วัน และถ้าหากฝ่าฝืน จะมีโทษปรับ 10 ล้านวอน หรือ 3แสนบาท แต่พวกเราจะโดนเยอะหน่อย คือ ถูกถอดถอนวีซ่าไปเลย

ถ้ารู้ว่าจะเดินทางมาเกาหลีใต้ ให้ดาวน์โหลดแอพฯ เตรียมไว้เลย ในการเปิดใช้แอพฯ ต้องใส่รหัส CORONA แล้วเข้าไปกรอกข้อมูล ส่วนตัวให้เรียบร้อย…

นอกจากนี้ พวกเราต้องเตรียมเอกสารเกี่ยวกับน้องหมาเพิ่ม เป็นกรณีเฉพาะพวกเราแต่ก็เป็นเอกสารธรรมดาเหมือนปกติที่เดินทางกับน้องหมาทุกครั้ง ไม่มีอะไรเพิ่มเติมในสถานการณ์โควิด19 อ่านต่อ เกี่ยวกับการเดินทางจากอเมริกามาเกาหลีกับน้องหมาช่วงโควิด19 (เร็วๆ นี้ โปรดรอค่ะ)

วันออกเดินทางจากบ้านตั้งแต่ตีสี่ เพราะเรามีน้องหมามาด้วย ต้องออกเร็วกว่าทุกคนเป็นพิเศษ




ตอนเช็คอินที่สถานบินนิวออลีนส์ (New Orleans) เขาขอดูใบตรวจผลโควิดเราด้วย แต่แค่ดูเฉยๆ แต่คำถามหลักๆ คือ ที่เกาหลีใต้มีรถมารับไหม รถส่วนตัว หรือ รถบัส แต่เราก็บอกว่ามีรถมารับ

เข้ามารอขึ้นเครื่องฯ เจ้าหน้าที่คนเรียกขึ้นเครื่องฯ จะเรียกจากผู้โดยสารแถวหลังสุดก่อน ใครถูกเรียกให้ออกมายืนตามจุดที่เขาติดไว้ ตามระยะห่าง 2เมตร


แล้วถ้าใครไม่ใส่หน้ากากอนามัย เขาจะถาม “มีไหม?” ถ้าไม่มีเขาจะแจกให้ฟรี แล้วให้ทุกคนใส่หน้ากากฯบนเครื่องกันทุกคน

เดินขึ้นเครื่อง เขาแจกกระดาษแอลกอฮอล์ให้เช็ดมือด้วย (แต่น้ำ ขนม ไม่แจก 555)

มาถึง สนามบินที่แอทแลนต้า (Atlanta) สนามบินนี้เป็นสนามบินใหญ่ การเดินทางระหว่างอาคารต้องนั่งรถไฟฟ้า แต่ก็เงียบเหงามากๆ

ยิ่งในตัวอาคารระหว่างประเทศ (International) แทบจะเรียกว่า ร้าง เลย คนน้อยมากๆ

ร้านอาหารในสถานบินฯ ส่วนใหญ่ปิดมากกว่า 50%

วันนี้ ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลี เกือบ90%เลย

พนักงานบนเครื่องใส่ชุดคลุมไวรัส หน้ากาก ถุงมือ ครบชุดมากๆ


ไม่รู้ว่าเขาจำกัดจำนวนผู้โดยสาร หรือยังไม่ค่อยมีคนเดินทาง ที่นั่งก็ยังว่างๆ นอกจากนี้ เราต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา (ยกเว้นเวลาทานอาหาร)

 




ระหว่างเดินทาง เขาจะมีเอกสารแจกให้กรอก4อย่าง คือ

1 ใบขาเข้า Arrival Card (ซึ่งเรามีบัตรเอเลี่ยน แต่กรอกไปก่อน)
2 ใบสำแดงฯสิ่งของ Travel Declaration ว่าเราได้พกอะไรที่ต้องสำแดงกับเจ้าหน้าที่หรือไม่

สองอันแรกนี้ ถือเป็นเอกสารปกติของด่านตรวจคนเข้าเมือง

3 ใบสอบถามสุขภาพ Health Declaration Form (สีเหลือง) เหมือนแบบสอบถามว่า มีอาการป่วยอะไรหรือเปล่า?

4 ใบสอบถามการเดินทาง Travel Record Declaration ว่าได้เดินทางผ่านประเทศอะไรมาบ้าง  ซึ่งอันนี้ยังกล่าวถึงแอพฯที่เราดาวน์โหลดสำหรับช่วงกักตัวอีกด้วย

ข้อมูลหลักๆที่ต้องเตรียมคือ ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรฯ เลขที่พาสปอร์ต แนะนำให้จดข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้ใส่กระดาษติดตัวมาเลยไว้เลย



ถึงเกาหลีใต้ ที่สถานบินอินชอน (โซล) แล้ว เดินเข้าไปต่อแถวด่านตรวจคนเข้าเมือง (Immigration)

แต่ช่วงโควิด19 หรือ วันที่เรามาถึงคือ 2 มิถุนายน 2563 นั้นเขาจะตั้งด่านเป็นเรื่องของการกักตัวไปเลย (Quarantine)


ด่านแรก ก็จะเช็คเอกสารค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นใบที่เขาแจกให้กรอกบนเครื่องบิน ด่านนี้ถ้ามีบัตรเอเลี่ยน (ARC) ให้ยื่นให้เจ้าหน้าที่เลย ไม่งั้นเขาจะแจกบัตรห้อยคอว่าเป็นนักท่องเที่ยว และตรงนี้เจ้าหน้าที่เขาจะวัดอุณหภูมิร่างกายให้เราด้วย ถ้าอุณหภูมิเกิน 37.5 Celsius เขาจะส่งเข้าห้องตรวจหาเชื้อโควิดเลย แต่ถ้าอุณหภูมิปกติเขาจะเขียนอุณหภูมิของเรา แล้วให้เราเดินไปด่านถัดไป

ด่านที่ 2 จะเป็นโซน ดาวน์โหลด แอพฯติดตามช่วงกักตัว 14วัน โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือ หากกรอกข้อมูลส่วนตัวในแอพฯแล้วก็จะทำให้เร็วขึ้น *ใครไม่มีมือถือ เขาจะมีให้ยืมด้วย*

เจ้าหน้าที่จะแนะนำให้ คลิก เข้าไปกรอก Self Diagnose เอาอุณหภูมิร่างกายของเราที่เจ้าหน้าที่คนก่อนนี้วัดให้ ไปกรอก และเราต้องทำแบบนี้วันละสองเวลา เช้ากับเย็น (ถ้ามีปรอทวัดไข้ให้นำติดตัวมาด้วยเลย)

โซนนี้คนจะยืนมุงๆ กัน  ทำเสร็จแล้วให้เดินไปต่อแถวด่านถัดไปได้เลย

ด่านที่ 3 แถวนี้ยาวหน่อย และค่อนข้างใช้เวลานาน หลักๆ เขาจะตรวจเช็คทุกอย่าง โดยเฉพาะเช็คว่า เบอร์มือถือที่เรากรอกไปในแอพฯนั้น ใช้ได้จริงหรือเปล่า โดยเขาจะทดลองโทรฯเข้าเบอร์ของเรา

ด่านที่ 4 ด่านนี้ รู้สึกว่าเป็นด่านลำไยมากๆ จะมีแบบฟอร์ม ประมาณ 4แผ่น ให้กรอก แล้วแต่ละแผ่น ก็เป็นคำถาม/ตอบคล้ายๆกัน เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทร.

ซึ่งที่อยู่พวกเรายาวมาก คือกรอกกันจนมือหงิก กรอกจนลืมกระเป๋า เพราะเอกสารเต็มมือ เพื่อนต้องลากกระเป๋ามาคืนให้!!!


*Status of sojourn นี่ฝรั่งยังงง ว่าคืออะไร มันคือ type of visa ด่านนี้สงสารคนแก่ๆ สายตาไม่ดีมากๆ กรอกเยอะเกิน แถม ตัวหนังสือเล็กมาก ด่านนี้น่าจะเป็นด่านที่น่าปรับปรุงมากที่สุด

อีกอย่างหนึ่ง ด่านนี้ จะดูบัตรเอเลี่ยนเราละเอียดมากๆ ตรงนี้เราไม่แน่ใจว่า คนที่เข้ามาแบบนักท่องเที่ยวจะต้องทำอะไร???

ด่านที่5 ด่านคนเข้าเมือง ก็ปกติ ตรวจพาสปอร์ต พิมพ์ลายนิ้วมือ ถ่ายรูป แล้ว เขาก็จะให้ บัตรเล็กๆ ที่มีบาร์โค้ดนี้กลับมา

โดยแต่ละด่านที่กล่าวมาเขาก็จะดึงแบบฟอร์มออกไปทีละใบสองใบ เหมือนเขาจะรู้หน้าที่ของเขา ว่าเขาต้องเก็บอะไร และให้อะไรกับเราบ้าง

ยังค่ะ นี้ไม่ใช่ด่านสุดท้าย…

ด่านต่อไปของพวกเราโดยเฉพาะคือ เอาน้องหมาไปสำแดงฯ ซึ่งก็ไม่ยากเย็นอะไร แค่เช็คไมโครชิฟ กับเอกสาร น้องหมานี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับโควิด19เลย




จากนี้เราก็ไปรับกระเป๋าเดินทาง ซึ่งเจ้าหน้าที่เขาออกมาจากสายพานให้เราแล้ว ก็เพราะกว่าจะผ่านแต่ละด่านออกมาถึงตรงนี้ได้ ใช้เวลา 1ชั่วโมง 15นาที (ขนาดวันนี้ มีไม่กี่เที่ยวบินที่ลงจอดพร้อมเรานะ)

ได้กระเป๋า ผ่านเจ้าหน้าที่ออกมา ก็จะมี ด่านที่ 6 โดยเจ้าหน้าที่จะตรวจเอกสารอีกที ตรงนี้แหล่ะ ที่เขาขอดูใบเล็กๆ นั่น
พร้อมทั้งเช็คอะไรมั่งก็ไม่รู้ (ทั้งงง ทั้งง่วง ทั้งเหนื่อย ตาลายไปแล้ว)

แต่เขาให้สติกเกอร์สีส้มมาดวงนึง ติดบนแขนเสื้อ (เขามีหลายสีมากนะ ก็ไม่รู้ความหมายเหมือนกัน)

ก่อนจะต้อนพวกเราไปรวมให้นั่งรอ เราได้ยินเขาบอกว่า เคเท็กๆๆๆ ซึ่งน่าจะเป็น KTX หรือ รถไฟฟ้าความเร็วสูง
จนคนขับรถที่มารับพวกเราแสดงตัวกับเจ้าหน้าที่เขาจึงให้ไปพบกันจุดถัดไป คือ จุดนัดพบรถส่วนตัว (Private Vehicle Pick Up Area)

สรุปก็คือ ถ้าคนที่จะโดยสารด้วยรถสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรถบัส รถแท็กซี่ รถไฟฟ้า เขาจะกักไว้กลุ่มนึง จากนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาจะจัดการอย่างไร

โอยยยย เห็นแบบนี้แล้ว ไม่อยากเดินทางเข้าออกเกาหลี หรือ ที่ไหนๆ เลย เข้าก็ยาก ออกก็ยาก!!!




สรุปเมื่อเสร็จสิ้นทุกด่านแล้วเราจะเหลือเอกสารเก็บไว้ประมาณนี้…

และวันนี้ ก็เริ่มนับว่าเป็นวันกักตัวอย่างเป็นทางการ วันที่หนึ่ง!

จากนี้ พวกเรานั่งรถจากโซลกลับ เกาะกอเจ ใช้เวลาเดินทาง5 ชั่วโมง ก็ถึงบ้านเกือบจะเที่ยงคืน เราต้องรีบวัดไข้กันบนรถ เพื่อจะได้กรอกข้อมูลใน แอพฯ ก็เขาให้ทำวันละสองครั้ง!

เมื่อเดินเข้าห้องแล้ว ก็ขอบอกว่า หลังจากนี้อีก 13วัน ห้ามออกจากห้องนี้ และห้ามมีคนมาหา (แต่เอาของมาส่งไว้หน้าประตูได้)


เราต้องกักตัวเองในเคหะสถานอย่างเคร่งครัด หากฝ่าฝืนแล้วโดยจับได้ จะถูกปรับถึง 10ล้านวอน หรือเกือบ สามแสนบาท! นอกจากถูกปรับแล้ว เขาจะให้เราใส่ข้อมือ (Wrist band) เพื่อติดตามเราอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งถอดถอนวีซ่าถาวรเราด้วย!!!

และพรุ่งนี้ จะมีเจ้าหน้าที่มารับเราไปตรวจโควิด-19 ค่ะ (อีกแล้ว เพิ่งตรวจไปเมื่ออาทิตย์ก่อนที่อเมริกาเองนะ)

ติดตามต่อ 14 วันช่วงกักตัวในเกาหลีใต้ ของพวกเราสองคน กับน้องหมาหนึ่งตัว ว่าจะเป็นอย่างไร




About Jam

I'm Jam, the blogger, and illustrator of this website. I live in Bangkok, Thailand and Louisiana, USA when I'm not travelling.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *